เมนูนำทาง
ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส ภาพชุดเดิมภาพชุดนี้แขวนตามเข็มนาฬิกาตามลำดับเหตุการณ์ที่ใช้ในการตกแต่งผนังของห้องรอจากห้องที่ประทับของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสในพระราชวังลุกซ็องบูร์[8] ปัจจุบันภาพชุดนี้ก็ยังแขวนตามลำดับเดิมภายในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์[25] เชื่อกันว่าพระราชินีมารีมีพระประสงค์จะให้ผู้ชมภาพเขียนชุดนี้ต้องศึกษาสลับซ้ายขวาเพื่อจะให้ผู้ชมต้องเดินข้ามไปข้ามไปมาระหว่างผนังซ้ายและผนังขวาของระเบียงภาพ[26] คูลลิดจ์ยังกล่าวด้วยว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นว่าเป็นเพียงภาพชุดเท่านั้นแต่ยังเป็นภาพคู่และเป็นภาพกลุ่ม ฉะนั้นภาพชุดชีวิตจึงแบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ : เมื่อยังทรงพระเยาว์, เมื่อเป็นพระราชินี และเมื่อเป็นพระราชินีหม้ายและผู้สำเร็จราชการ[27]
แม้ว่าภาพเขียนแต่ละภาพจะมีความกว้างต่างกันแต่แต่ละภาพมีความสูงเท่ากันหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางแผนเป็นอย่างดีที่เหมาะกับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในการที่จะใช้ในการตกแต่งระเบียงภาพ ภาพสิบหกภาพที่ตกแต่งสองด้านของระเบียงสูงราวสี่เมตรและกว้างราวสามเมตร ภาพที่ใหญ่ที่สุดสามภาพสูงสี่เมตรและกว้างเจ็ดเมตร[25]
สิ่งแรกของภาพชุดนี้ที่ผู้ชมจะเห็นก็เมื่อเข้ามาทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของห้อง งานที่เห็นได้ชัดจากมุมนี้คือภาพ "พระบรมราชาภิเษกที่มหาวิหารแซ็ง-เดอนี" และ "การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และการประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ"[28] ครึ่งแรกของภาพชุดเริ่มตั้งแต่ผนังทางเข้าที่เป็นภาพเมื่อยังทรงพระเยาว์และภาพการเสกสมรสกับพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ภาพสี่ภาพเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับการเสกสมรสของทั้งสองพระองค์เพราะการแต่งงานสำหรับผู้มีอายุ 27 ปีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในสมัยนั้น[6] ครึ่งนี้จบลงด้วยภาพ "พระบรมราชาภิเษกที่มหาวิหารแซ็ง-เดอนี" ผนังด้านตรงกันข้ามกับผนังทางเข้าเป็นภาพ "การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และการประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ" ภาพต่าง ๆ หลังจากภาพนี้ก็เริ่มจะเป็นภาพของกรณีขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพระองค์และพระราชโอรส เช่นภาพ "การวิวาทและการคืนดีระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าหลุยส์"[29]
สมัยทางประวัติศาสตร์ระหว่างการเขียนภาพเป็นสมัยของความไม่สงบทางการเมืองที่รือเบินส์ต้องพยายามเลี่ยงการแสดงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสในขณะนั้น รือเบินส์จึงหันไปใช้อุปมานิทัศน์จากตำนานเทพ, บุคลาธิษฐานของคุณธรรมและศาสนา และอุปมัยทางศาสนาในการพรางเหตุการณ์ที่ตามความเป็นจริงแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างเป็นพื้น ๆ , กำกวม และ หลีกเลี่ยงสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ที่แสดงความเป็นวีรสตรี แนวการแสดง "ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์" โดยวิธีที่ว่านี้ของรือเบินส์จึงเป็นการเลือกแสดง หรือยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เที่ยงตรงต่อความเป็นจริง แต่รือเบินส์ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์หรือถ้าในสมัยปัจจุบันก็จะเรียกว่าไม่ใช่ "นักข่าว" ผู้ที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อการพยายามเสนอความเป็นจริงที่เป็นกลาง "ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" จึงไม่ใช่การรายงานข่าวหรือการบันทึกประวัติศาสตร์แต่เป็นงาน "แปรความเป็นจริงเชิงอรรถรส" (poetic transformation)[30]
รือเบินส์บรรยายเรื่องราวใน "ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" ด้วยลักษณะการเขียนแบบโบราณซึ่งเป็นวิธีเขียนที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และสรรเสริญรัฐบาล การเขียนลักษณะนี้เรียกว่าการเขียนแบบ "บทสดุดี" (Panegyric) การเขียนบทสดุดีมักจะเขียนกันในการเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เช่นการให้กำเนิดของเจ้าชายรัชทายาทเป็นต้น และจะเป็นบทเขียนประเภทที่สรรเสริญคุณสมบัติและบรรพบุรุษของผู้ได้รับการสดุดี โครงสร้างลำดับเหตุการณ์ในการเขียนบทสดุดีก็จะเริ่มโดยการบรรยายบรรพบุรุษและตามด้วยการเกิด, การศึกษา และชีวิตของผู้ที่เป็นหัวข้อของการเขียน รือเบินส์ใช้โครงสร้างดังกล่าวนี้ในการเขียน "ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส"[31]
ค่าจ้างในการเขียน "ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" ตกประมาณ 24,000 กิลเดอร์สำหรับเนื้อที่ภาพทั้งหมด 292 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อเฉลี่ยแล้วก็ตกประมาณ 82 กิลเดอร์หรือ $1,512 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งตารางเมตร[32]
ภาพเขียนภาพแรกของ "ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" คือภาพ "พรหมลิขิตของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" ซึ่งเป็นภาพม้วนตัวกันขึ้นไปของเทพีแห่งพรหมลิขิต (Fates) สามองค์ ยังเทพีจูโนและเทพจูปิเตอร์ที่ประทับอยู่บนก้อนเมฆตอนบนของภาพ
เทพีแห่งพรหมลิขิตในภาพเป็นภาพของเทพีเปลือยที่กำลังปั่นยานแห่งพรหมลิขิตของเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิส การปรากฏตัวของเทพเมื่อประสูติเป็นการเน้นถึงอนาคตของพระองค์ที่จะเป็นอนาคตของผู้ที่จะทรงประสบกับความรุ่งเรืองและความพร้อมมูลในการที่จะทรงเป็นผู้นำในอนาคต ดังที่ปรากฏในภาพเขียนหลายภาพต่อมา[33] ในตำนานเทพกรีกและตำนานเทพโรมัน เทพีแห่งพรหมลิขิตองค์หนึ่งจะเป็นผู้ปั่นยานแห่งพรหมลิขิต อีกองค์หนึ่งจะเป็นผู้วัดความยาวของยาน และองค์ที่สามจะเป็นผู้ถือตะไกรไว้สำหรับตัดยาน หรือเป็นผู้นำความตายหรือความสิ้นสุดมาสู่ผู้นั้น แต่ในภาพเขียนของรือเบินส์ไม่ได้เขียนตะไกรสำหรับตัดยานในภาพซึ่งเท่ากับเป็นการเน้นถึงความมีอภิสิทธิ์และความเป็นอมตะของพระองค์[34] ภาพสุดท้ายของภาพชุดนี้ประสานกับหัวเรื่องของภาพทั้งชุดที่เน้นความเป็นอมตะของพระองค์ ที่เป็นภาพของพระราชินีมารีทรงลอยขึ้นไปเป็นพระราชินีแห่งสรวงสวรรค์หลังจากที่ทรงประสบความสำเร็จในชีวิตในโลกมนุษย์ เพื่อไปเป็นผู้มีชื่อเสียงอันไม่มีที่สิ้นสุด[35]
การตีความหมายในตอนแรกกล่าวว่าการมีเทพีจูโนในภาพเป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์ของเทพีแห่งการกำเนิด แต่ต่อมาก็มีผู้เสนอว่ารือเบินส์ใช้เทพีจูโน เป็นตัวแทนของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสเอง ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ ส่วนเทพจูปิเตอร์ก็เป็นอุปมานิทัศน์ของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ผู้เป็นพระสวามีผู้ทรงมีความสัมพันธ์กับสตรีอื่น ๆ นอกไปจากพระอัครมเหสีของพระองค์เอง เช่นเดียวกับเทพจูปิเตอร์ที่มีชายาหลายองค์[35]
ภาพที่สองเป็นภาพ "กำเนิดเจ้าหญิง" ซึ่งเป็นภาพการประสูติของเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิสเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1573 ภาพนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และอุปมานิทัศน์ ทางมุมซ้ายล่างเป็นยุวเทพสององค์เล่นกับโล่ที่มีตราของสัญลักษณ์ดอกลิลลีของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นนัยว่าสรวงสวรรค์มีความเห็นดีเห็นงามกับพระองค์มาตั้งแต่ประสูติ เทพแห่งแม่น้ำตรงมุมขวาของภาพอาจจะเป็นนัยถึงแม่น้ำอาร์โนที่ไหลผ่านฟลอเรนซ์ที่เป็นเมืองประสูติของพระองค์ กรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์เหนือพระเศียรอาจจะตีความหมายได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของอนาคตที่เต็มไปด้วยเกียรติยศและความมั่งคั่งที่จะมาถึงของพระองค์ สิงโตตรงมุมล่างขวาอาจจะเป็นเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความแข็งแกร่งที่จะทรงมี[36] รัศมีรอบพระเศียรไม่ควรจะมองว่าเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาแต่ควรจะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเทพ[37] แม้ว่าพระองค์จะประสูติในราศีพฤษภ แต่รือเบินส์ใช้สัญลักษณ์ของราศีธนูในภาพนี้ซึ่งอาจจะตีความหมายได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการพิทักษ์อำนาจการเป็นพระราชินี[38]
"การศึกษาของเจ้าหญิง" เป็นภาพของเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิสขณะที่กำลังทรงทำการศึกษาเล่าเรียนเมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้น การศึกษาของพระองค์มีพยานเป็นเทพที่รวมทั้งอพอลโล, อธีนา และเฮอร์มีส อพอลโลเป็นเทพแห่งศิลปะ, อธีนาเป็นเทพแห่งสติปัญญา และ เฮอร์มีสผู้เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้าเป็นเทพแห่งความเข้าใจและความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา[39] เฮอร์มีสดูเหมือนจะรีบนำของขวัญจากพระเจ้าลงมาประทานให้แก่เจ้าหญิงมารีในภาพ--คทางูไขว้ และเชื่อกันว่าเฮอร์มีสเป็นผู้มอบความสง่าและความงามให้แก่พระองค์ แต่คทางูไขว้ที่ปรากฏในอีกหกภาพเป็นสัญลักษณ์ของสันติสุขและความปรองดอง ซึ่งอาจจะเป็นการพยากรณ์ถึงรัชสมัยอันสงบสุขของพระองค์ที่จะมาถึงก็เป็นได้[40] หรืออาจจะตีความหมายได้ว่าการมีเทพมาเป็นผู้ให้การศึกษาอาจจะเป็นการเตรียมพระองค์ให้ทรงพร้อมที่จะมีความรับผิดชอบต่อพระราชภารกิจที่จะต้องทรงมีในภายภาคหน้า ที่รวมทั้งการที่จะทรงต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในอนาคตในฐานะพระราชินีผู้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน[41] ภาพเขียนนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงลักษณะการเขียนแบบบาโรกที่ประสานความสัมพันธ์ระหว่างโลกของเทพและมนุษย์ในภาพที่มีลักษณะเป็นนาฏกรรมไปด้วยในขณะเดียวกัน[42] เทพในภาพมิได้เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ที่อ้างถึงอย่างลอย ๆ แต่ยังมีบทบาทในภาพในการให้การศึกษาแก่พระองค์โดยตรงด้วย เทพีองค์อื่น ๆ ในภาพก็มีเทพีแห่งคุณธรรมสามองค์ -- เทพีอกลาเอีย (ความงาม), เทพียูโฟรเซเน และเทพีธาเลียที่ยืนอยู่กลางภาพผู้ที่เป็นผู้ประทานความงามแก่พระองค์[39]
การที่จะซาบซึ้งถึงคุณค่าของภาพ "การแสดงพระฉายาลักษณ์ต่อพระเจ้าอ็องรี" และภาพอื่น ๆ ในชุดนี้ทั้งชุด ผู้ชมต้องมีความเข้าใจถึงพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ว่าในช่วงเวลาที่รือเบินส์เขียนภาพชุดนี้เป็นสมัยความเชื่อในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งเป็นสมัยที่ถือกันว่าพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นผู้มีอภิสิทธิ์และมีฐานะเหนือมนุษย์เดินดิน ฉะนั้นตั้งแต่พระราชินีมารี เดอ เมดีซิสประสูติพระองค์ก็ทรงดำรงชีวิตที่แตกต่างไปจากสามัญชนอื่น ๆ มาโดยตลอด การเขียนภาพที่ประกอบด้วยเทพเจ้ากรีกโรมันและการใช้อุปมานิทัศน์ในความเป็นเทพของรือเบินส์จึงเป็นการแสดงสนับสนุนพื้นฐานของปรัชญาดังกล่าวที่ว่านี้อย่างเด่นชัด[43]
เช่นเดียวกันทามิโนตัวละครในอุปรากร "The Magic Flute" พระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิสทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ในภาพไฮเมเนียสเทพเจ้าแห่งการแต่งงานและคิวปิดเทพเจ้าแห่งความรักเป็นผู้ถือภาพของเจ้าหญิงมารีต่อพระพักตร์ของพระเจ้าอ็องรีผู้ที่จะมาเป็นพระสวามี ขณะที่เทพจูปิเตอร์และเทพีจูโนนั่งอยู่บนก้อนเมฆมองลงมายังพระเจ้าอ็องรี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการเสกสมรสที่เป็นที่เห็นพ้องและชื่นชมโดยเทพ[44] ขณะที่บุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสใส่หมวกเหล็กแตะพระพาหาของพระเจ้าอ็องรีเป็นการแสดงการสนับสนุนและชื่นชมกับภาพของบุคคลที่จะมาเป็นพระราชินีในอนาคตร่วมกับพระองค์[43] รือเบินส์แสดงบุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสที่เป็นเอกเพศหลายครั้งในภาพเขียนชุดนี้ ในภาพนี้ฝรั่งเศสเป็นได้ทั้งชายและหญิงในขณะเดียวกัน ท่าทางอันใกล้ชิดระหว่างฝรั่งเศสกับพระเจ้าอ็องรีอาจจะเป็นนัยถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระเจ้าอ็องรีกับราชอาณาจักรฝรั่งเศส ท่าทางเช่นนี้มักจะเป็นท่าที่ใช้ระหว่างชายต่อชายด้วยกันในการบอกความลับให้แก่กัน แต่การแต่งตัวของบุคลาธิษฐานที่ส่วนบนของร่างกายเป็นสตรีที่เผยให้เห็นหน้าอกและการห่มผ้าก็เป็นไปในลักษณะของการห่มแบบคลาสสิก แต่ส่วนล่างโดยเฉพาะต้นขาที่เผยให้เห็นและรองเท้าบูทแบบโรมันแสดงถึงความเป็นชาย ที่เป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งอย่างบุรุษที่แสดงให้เห็นจากท่อนขาด้านล่าง[45] ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งฝรั่งเศสและพระเจ้าอ็องรีชี้ให้เห็นว่าไม่แต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ชื่นชมกับการเสกสมรสที่จะเกิดขึ้น แต่ยังมาจากการชื่นชมมาจากไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วย
ระหว่างการเจรจาต่อรองรายละเอียดในการเสกสมรสของเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิส และพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ก็ได้มีการส่งภาพแลกเปลี่ยนกันอีกหลายภาพระหว่างทั้งสองพระองค์ พระเจ้าอ็องรีทรงพอพระทัยกับพระสิริโฉมของเจ้าหญิงมารีและเมื่อทรงได้พบพระองค์จริงพระองค์ก็ทรงยิ่งมีความประทับพระทัยยิ่งกว่าพระฉายาลักษณ์ที่ได้ทอดพระเนตรมาก่อน การเสกสมรสเป็นที่ชื่นชอบของทุกฝ่ายรวมทั้งพระสันตะปาปา, ตระกูลเมดีชี และขุนนางผู้มีอำนาจในฟลอเรนซ์ ผู้ที่ได้พยายามอยู่เป็นเวลานานในการหว่านล้อมพระเจ้าอ็องรีทรงเห็นถึงประโยชน์ที่จะทรงได้รับจากการประสานสัมพันธ์ครั้งนี้[46] ทั้งสองพระองค์ทรงเสกสมรสโดยฉันทะเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1600[47]
ภาพนี้เป็นภาพพิธีการเสกสมรสโดยฉันทะของเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิสกับพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ที่เกิดขึ้นที่มหาวิหารฟลอเรนซ์เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1606 โดยมีคาร์ดินัลปีเอโตร อัลโดบรันดีนีเป็นผู้ทำพิธี โดยมีพระปิตุลาของเจ้าหญิงมารี แฟร์ดีนันโดที่ 1 เด เมดีชีแกรนด์ดุ๊กแห่งทัสกานี เป็นผู้แทนพระองค์ในพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ในภาพนี้แกรนด์ดยุกสวมพระธำมรงค์ให้แก่เจ้าหญิงมารี บุคคลอื่น ๆ ที่ปรากฏในภาพสามารถบอกได้ว่าใครเป็นใครรวมทั้งตัวรือเบินส์เองที่เข้าร่วมพิธีดังว่าที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนหน้าที่จะเขียนภาพในฐานะของผู้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลกอนซาการะหว่างที่พำนักอยู่ในอิตาลี รือเบินส์ในภาพที่ดูเป็นหนุ่มยืนถือกางเขนอยู่ข้างหลังเจ้าสาวและหันมองตรงมายังผู้ชมภาพ แต่ตามความเป็นจริงแล้วก็ยากที่จะเป็นไปได้ว่าขณะนั้นรือเบินส์จะมีความสำคัญพอที่ปรากฏตัวอยู่ในภาพในฐานะที่เด่นดังที่วาดในภาพ ผู้ที่ร่วมในงานเสกสมรสก็ได้แก่คริสตีนแห่งลอแรน แกรนด์ดัชเชสแห่งทัสเคนีและพระขนิษฐาเอเลนอรา ดัชเชสแห่งมันโตวา และคณะผู้ร่วมเดินทางของฝรั่งเศสที่รวมทั้งมาร์ควิสเดอซิเลยีผู้เป็นผู้เจรจาข้อตกลงในการเสกสมรส ภาพนี้ก็เช่นเดียวกับภาพอื่นใน "ภาพชุดพระราชินีมารี" ที่รือเบินส์รวมเทพเข้าในภาพด้วย: ไฮเมเนียส เทพแห่งการแต่งงานที่สวมมงกุฎดอกกุหลาบที่ถือชายพระภูษาของเจ้าหญิงมารีในมือหนึ่งและในอีกมือหนึ่งถือคบเพลิงแห่งการสมรส[48] พิธีเกิดขึ้นภายใต้ประติมากรรมของพระเจ้าผู้ทรงโทมนัสกับร่างอันไร้ชีวิตของพระเยซูที่เป็นนัยถึงประติมากรรมปีเอต้าโดยบาร์โทโลเมโอ บันดิเนลลิ
ตามปกติแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด แต่รือเบินส์ก็สามารถทำให้ภาพของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสเมื่อเสด็จโดยทางชลมารคมาถึงเมืองท่างมาร์แซย์ของฝรั่งเศสหลังจากที่ทรงเสกสมรสโดยฉันทะกับพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ที่ฟลอเรนซ์แล้วให้เป็นภาพที่น่าสนใจกว่าความเป็นจริงได้อย่างน่าประทับใจ รือเบินส์แสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าสามารถสร้างเหตุการณ์พื้น ๆ ให้กลายเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่น่าประทับใจได้ ภาพนี้เป็นภาพที่พระราชินีมารีกำลังเสด็จพระราชดำเนินลงจากสะพานเรือพระที่นั่ง ตามความเป็นจริงแล้วทรงดำเนินขึ้นและการเขียนให้ดำเนินลงทำให้สร้างการจัดองค์ประกอบของภาพให้เป็นสามเหลี่ยมได้ พระราชินีมารีเสด็จลงพร้อมกับคริสตีนแห่งลอแรน แกรนด์ดัชเชสแห่งทัสเคนีและพระขนิษฐาเอเลนอรา ดัชเชสแห่งมันโตวา เข้าไปสู่การต้อนรับด้วยความปิติของบุคลาธิษฐานแห่งฝรั่งเศสผู้สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินประด้วยสัญลักษณ์ดอกลิลลีของฝรั่งเศสผู้อ้าแขนรับพระราชินีองค์ใหม่เข้าสู่อ้อมอกของประเทศใหม่ โดยมีพระมาตุจฉาคริสตีนแห่งลอแรนและพระขนิษฐาขนาบสองข้างพระองค์ ขณะที่มีเทพล่องลอยเป่าแตรทรัมเป็ตสองแตรอยู่เหนือพระเศียร ด้านล่างของภาพเป็นเทพเนปจูนและนางพรายทะเลผุดขึ้นมาจากทะเลหลังจากที่ได้พิทักษ์พระองค์ในการเดินทางอันยาวนานมาจนมาถึงมาร์แซย์ได้โดยปลอดภัย รือเบินส์ใช้ความมีฝีมือในการสร้างฉากที่รวมทั้งสวรรค์และโลก และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และอุปมานิทัศน์ได้อย่างมีอรรถรสแก่สายตาของผู้ดูอย่างไม่มีที่ติ[49] นอกจากนั้นแล้วสิ่งอื่นในภาพ "การขึ้นฝั่งที่มาร์แซย์" ก็ได้แก่ตราประจำตระกูลเมดีชีอยู่เหนือโค้งประทุนตรงมุมซ้ายบนของภาพ และอัศวินแห่งมอลตาแต่งตัวเต็มยศยืนสังเกตการณ์อยู่บนเรือข้างประทุน
โรเจอร์ อาแวร์เมเอ็ตเตนักเขียนชีวประวัติของรือเบินส์ให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพนี้ว่า:
[ในภาพชุดพระราชินีมารี รือเบินส์]ล้อมรอบ[มารี เดอ เมดีซิส]ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่งดงามหลากหลายจนแทบจะผลักพระองค์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฉากหลัง ตัวอย่างเช่นในภาพ "การขึ้นฝั่งที่มาร์แซย์" ที่ผู้ดูทุกคนจะหันไปสนใจกับร่างกายอันงดงามของบรรดาเทพเจ้ากรีกต่าง ๆ [ตอนล่างของภาพ] ซึ่งเป็นการดึงความสนใจจากการที่พระราชินีทรงได้รับการต้อนรับโดยฝรั่งเศสที่อ้าแขนอยู่"— โรเจอร์ อาแวร์เมเอ็ตเต[50]
รือเบินส์จัดวางองค์ประกอบของภาพได้อย่างเหมาะเจาะโดยสามารถสร้างความสมดุลระหว่างส่วนของภาพที่เกี่ยวกับเทพและส่วนที่เป็นโลกมนุษย์[43]
ภาพนี้ใช้อุปมานิทัศน์ของเทพในการแสดงการพบปะกันเป็นครั้งแรกระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าอ็องรีที่เกิดขึ้นหลังจากการเสกสมรสโดยฉันทะที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นในฟลอเรนซ์ ตอนบนของภาพเป็นภาพพระราชินีมารีและพระเจ้าอ็องรีในรูปของเทพีจูโนและเทพจูปิเตอร์ โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามธรรมเนียมที่บ่งถึงเทพแต่ละองค์ พระราชินีมารีทรงเป็นเทพีจูโน (กรีก เทพีเฮรา) ประทับบนราชรถที่มีนกยูงเป็นสัญลักษณ์ และพระเจ้าอ็องรีทรงเป็นเทพจูปิเตอร์ (กรีก ซูส) ทรงถือสายฟ้าในพระกรซ้ายและเหยี่ยวใต้พระชานุ ทั้งสองพระองค์ประสานพระหัตถ์ขวาเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าทรงคู่สามีภรรยากัน ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์เป็นแบบคลาสสิกซึ่งเป็นการเหมาะกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในภาพ เหนือพระเศียรเป็นเทพไฮเมเนียสผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการสมรส สายรุ้งบนมุมซ้ายตอนบนเป็นสัญลักษณ์ของความปรองดองกันและความสันติสุข ด้านล่างซ้ายของภาพเป็นเมืองลิยงในฝรั่งเศสที่ดูจากซ้ายไปขวาจะเป็นภูมิทัศน์ของเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา กลางภาพด้านหน้าล่างเป็นราชรถลากด้วยสิงโตสองตัว (คำว่าสิงโตในภาษาฝรั่งเศสพ้องกับชื่อเมืองลิยง (Lyon)) ราชรถขับโดยบุคลาธิษฐานผู้สวมมงกุฎของเมืองลิยงผู้ชายตาขึ้นไปยังสองพระองค์ที่นั่งลอยอยู่ตอนบนของภาพ รือเบินส์ต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกเทพที่ใช้แทนพระองค์พระเจ้าอ็องรีในการพบปะกันครั้งแรกระหว่างสองพระองค์ เพื่อที่จะไม่ให้เป็นการแสดงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของพระเจ้าอ็องรี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการแฝงนัยที่ต้องการจะสื่อถึงคุณลักษณะของพระองค์ได้ เพราะเชื่อกันว่าพระเจ้าอ็องรีทรงมีความสัมพันธ์กับสตรีอยู่คนหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกับที่ไปทรงเสกสมรสกับพระราชินีมารี ซึ่งทำให้การเสด็จมาพบพระราชินีมารีต้องล่าไปเกือบหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่พระราชินีเสด็จมาถึงฝรั่งเศสแล้ว การใช้เทพจูปิเตอร์เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ก็เป็นการให้นัยว่าทรงเป็นชายหลายใจเช่นเดียวกับเทพจูปิเตอร์ผู้มีชายาหลายองค์แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงฐานะอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองพระองค์ตามความหมายของเทพทั้งสองที่ใช้[51]
ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงการให้กำเนิดพระราชโอรสองค์แรก--โดแฟงหลุยส์--ที่พระราชวังฟงแตนโบลของพระราชินีมารี รือเบินส์วางรูปให้สื่อความสันติสุขทางการเมือง[52] การกำเนิดของรัชทายาทองค์แรกเป็นเหตุการณ์อันสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเป็นการมีผู้สืบราชบัลลังก์ที่แน่นอน รัชทายาทเป็นสิ่งสำคัญที่สุดโดยเฉพาะสำหรับพระเจ้าอ็องรีเพราะเป็นการแสดงความเป็นบุรุษเต็มตัวของพระองค์และเป็นการยุติความล้มเหลวของการไม่ทรงมีรัชทายาทกับพระอัครมเหสีก่อนหน้านั้น [53] คำว่า "Dauphin" (มกุฎราชกุมารแห่งฝรั่งเศส) ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "โลมา" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้านาย นอกจากนั้นการมีความสัมพันธ์กับสตรีหลายคนของพระเจ้าอ็องรีทำให้เป็นปัญหาต่อการมีรัชทายาทที่ถูกต้อง ที่ทำให้ถึงกับมีข่าวลือกันว่าศิลปินประจำราชสำนักพยายามหาวิธีแก้ภาพพจน์ในสายตาของสาธารณชนของพระองค์ให้ดีขึ้น โดยใช้วิธีเช่นแสดงพระราชินีมารีให้เป็นเทพีจูโน หรือเทพีมิเนอร์วา การใช้เทพีจูโนแทนพระราชินีก็เท่ากับเป็นนัยว่าพระเจ้าอ็องรีคือเทพจูปิเตอร์ผู้ที่ทรงกลายเป็นผู้อยู่กับเรือนหลังจากการเสกสมรสแล้ว ส่วนการใช้เทพีมิเนอร์วาในการเป็นบุคลาธิษฐานก็เพื่อเป็นการแสดงถึงความสามารถในการยุทธการของพระสวามีและพระราชินีมารีเอง[54] ในฐานะที่เป็นจิตรกรเฟลมิชรือเบินส์ก็ต้องวาดภาพสุนัขเข้าไปด้วยในรูปเพื่อเป็นนัยถึงความจงรัก/ซื่อสัตย์ต่อกันของคู่สามีภรรยา (Fidelity in marriage) นอกจากจะเป็นภาพที่สื่อความสันติสุขทางการเมืองแล้ว รือเบินส์ก็ยังใช้บุคลาธิษฐานของเทพีแห่งความยุติธรรม--เทพีแอสเทรีย การเสด็จของแอสเทรียมายังโลกมนุษย์ก็เท่ากับเป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องทางด้านความยุติธรรมของฝรั่งเศสจากการกำเนิดของผู้ที่จะมาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ ในภาพเจ้าชายหลุยส์ทรงได้รับการเลี้ยงดูโดยเทพีทีมิส เป็นสัญลักษณ์ว่าเจ้าชายหลุยส์ทรงมีสิทธิโดยการกำเนิดในการเป็นพระมหากษัตริย์ในวันข้างหน้า ติดกับทารกเป็นงูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมีพระสุขภาพพลานามัยดี[55] ขณะเดียวกันพระราชินีมารีก็ทรงชายพระเนตรไปยังพระราชโอรสในอ้อมอกของเทพเมอร์คิวรีทางด้านขวาของภาพด้วยความชื่นชม ทางด้านซ้ายของภาพเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ก็แนบกรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์ข้างพระกรขวา ซึ่งเป็นอุปมานิทัศน์ของความอุดมสมบูรณ์ ท่ามกลางสิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากกรวยก็มีพระเศียรของพระราชโอรสธิดาองค์อื่น ๆ ที่จะมาถือกำเนิดต่อจากเจ้าชายหลุยส์รวมอยู่ด้วย[56]
ในการเขียน "ภาพชุดพระราชินีมารี" ทุกภาพรือเบินส์ต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกสิ่งที่จะใช้เป็นองค์ประกอบในภาพเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของทั้งพระราชินีมารี และพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 พระราชโอรส โดยเฉพาะในภาพที่เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างทั้งสองพระองค์ที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ พระราชินีมารีทรงจ้างให้เขียนภาพที่มีพระราชประสงค์ที่แสดงความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ ซึ่งรือเบินส์ก็ต้องหากลวิธีในการแสดง "ความเป็นจริง" อย่างมีไหวพริบ แต่บางครั้ง "อภิสิทธิ์ของศิลปิน" (artistic license) ของรือเบินส์ก็ต้องถูกจำกัดลงไปบ้าง เพื่อที่จะแสดงภาพของพระราชินีมารีในบรรยากาศที่เหมาะที่ควรทางการเมือง ในภาพ "การมอบให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" พระสวามีพระเจ้าอ็องรีที่ 4 พระราชทานอำนาจในการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของฝรั่งเศส และในการดูแลมกุฎราชกุมารไม่นานก่อนที่จะเสด็จไปรณรงค์ และในที่สุดก็เสด็จสวรรคต
เหตุการณ์ในภาพนี้เกิดขึ้นในฉากที่ใหญ่โตของสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี บุคลาธิษฐานของ "ความรอบคอบ" ทางขวาของพระราชินีมารีไม่มีงูเป็นสัญลักษณ์ตามปกติ ซึ่งถ้ามีก็อาจจะทำให้เป็นนัยยะถึงข่าวลือที่ว่าพระองค์ทรงมีส่วนในการคบคิดในการปลงพระชนม์พระสวามี ความมีประสิทธิภาพของการวางองค์ประกอบของภาพในกรณีที่ว่านี้จึงจำต้องลดถอยลงไปบ้าง เพื่อที่จะพยายามเลี่ยงการสร้างความเสียหายให้แก่ภาพพจน์ของพระองค์ สิ่งอื่นที่รือเบินส์ต้องแก้คือเทพีมอยเร หรือ เทพีแห่งพรหมลิขิตสามองค์ที่เดิมอยู่ทางด้านหลังพระเจ้าอ็องรีทางด้านซ้ายของภาพ ที่เป็นนัยยะในการมาบ่งพรหมลิขิตของพระองค์ว่าจะต้องเข้าร่วมในการรณรงค์และจะทรงเสียชีวิตในที่สุด รือเบินส์ถูกบังคับให้เปลี่ยนจากภาพเทพีแห่งพรหมลิขิตไปเป็นทหารสามคนแทนที่[57]
สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งในภาพนี้คือลูกโลก (orb) ที่พระเจ้าอ็องรีถวายพระราชินีมารีที่เป็นสัญลักษณ์ของ "อำนาจอันเหนือทุกสิ่งทุกอย่างของราชอาณาจักร" [58] ลูกโลกเป็นทั้งนัยยะถึง "orbis terrarum" (ลูกโลกของโรมัน) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของจักรพรรดิโรมัน ซึ่งเมื่อใช้ในภาพนี้ก็เป็นการแสดงนัยยะถึงอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส[59] รือเบินส์เข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ "ลูกโลกแห่งอำนาจ" และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในภาพนี้ และผู้ที่เป็นผู้เสนอให้ใช้ลูกโลกในภาพชุดนี้คือพระราชินีมารี และที่ปรึกษาของพระองค์เอง เพื่อเป็นการเพิ่มความหมายในทางอุปมานิทัศน์ และเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของพระองค์[60]
"พระบรมราชาภิเษกที่มหาวิหารแซ็ง-เดอนี" เป็นหนึ่งในภาพเพียงสองสามภาพในภาพเขียนชุดนี้ที่แทบจะไม่มีเทพจากตำนานเทพเจ้ากรีก/โรมันเป็นองค์ประกอบเช่นในภาพอื่น ๆ ภาพเขียนภาพนี้เป็นภาพเขียนภาพสุดท้ายทางด้านเหนือของกำแพงด้านตะวันตกซึ่งเป็นการสิ้นสุดของความช่วยเหลือจากทวยเทพในการเตรียมพระองค์สำหรับเหตุการณ์สำคัญและพระราชภารกิจที่จะเกิดขึ้นและจะทรงรับผิดชอบ[42] และเป็นภาพหนึ่งในสองภาพที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเข้ามาในระเบียงภาพจากทางมุมตะวันออกเฉียงไต้ รือเบินส์สร้างฉาก "พระบรมราชาภิเษก" ให้มองมาจากที่ไกลโดยการเน้นด้วยการใช้สีแดง เช่นเสื้อคลุมสีแดงสดของคาร์ดินัลทางด้านขวาสุดของภาพ นอกจากนั้นการเน้นสีแดงทำให้ภาพนี้มีความต่อเนื่องกับภาพ "การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และการประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ" ต่อมา[27]
"พระบรมราชาภิเษกที่มหาวิหารแซ็ง-เดอนี"ภาพนี้เป็นพระราชินีมารีในพิธีพระบรมราชาภิเษกที่มหาวิหารแซ็ง-เดอนีในปารีส ภาพนี้และภาพ "การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และการประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ" ถือกันว่าเป็นภาพเอกของภาพชุดนี้ ทั้งสองภาพแสดงภาพเมื่อพระราชินีมารีทรงรับ "ลูกโลกแห่งอำนาจ" โดยมีคาร์ดินัลกองดีและคาร์ดินัลดูซูร์ดีส์เป็นผู้นำพระองค์ไปยังแท่นบูชา และมายืนพร้อมกับมองซิเออร์เดอซูวรท์และมองซิเออร์เบอทูน ผู้ทำพิธีคือคาร์ดินัลฌัวเยิซ (Joyeuse) ผู้ติดตามพระราชินีก็ได้แก่เจ้าชายรัชทายาท, เจ้าชายแห่งคองตีผู้สวมมงกุฎ, ดยุกแห่งวองทาดูร์ผู้ถือคทา, และเชวาลิเยร์แห่งแวงโดมผู้ถือสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม เจ้าชายแห่งคองตีและดัชเชสแห่งมงต์แปงซิเยร์ถือชายฉลองพระองค์คลุม พระเจ้าอ็องรีผู้เสด็จสวรรคตไปแล้วทรงถูกแยกจากกลุ่มคนกลางภาพไปอยู่บนระเบียงในฉากหลังของภาพ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ดำและทอดพระเนตรลงมายังการสวมมงกุฎของพระอัครมเหสีราวกับจะเป็นการเห็นด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ที่มาชมเหตุการณ์อยู่ข้างล่างต่างก็ยกมือขึ้นเพื่อถวายพระพร ด้านบนเป็นบุคลาธิษฐานของเทพีอบันดันเชียหรือเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และเทพีวิกตอเรียหรือเทพีแห่งชัยชนะให้พรของความอุดมสมบูรณ์และความสันติสุขอยู่เหนือพระเศียรของพระราชินี[61] เทพเทพีวิกตอเรียโปรยเหรียญทองของเทพจูปิเตอร์[62] นอกจากนั้นแล้วตรงมุมขวาล่างก็ยังมีสุนัขของพระองค์อีกสองตัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดี
รือเบินส์ใช้ลูกโลกประดับกางเขนสีน้ำเงินที่ตกแต่งด้วยดอกลิลลีทองที่เป็นงานฝีมือของกิโยม ดูเพรส์ที่สร้างในปี ค.ศ. 1610 เมื่อพระราชินีมารีทรงขอให้ทำ เทพแทนพระองค์เป็นเทพีมิเนอร์วาและแทนเจ้าชายหลุยส์เป็นอพอลโล[63] สัญลักษณ์เป็นการสื่อความหมายว่าทรงเป็นผู้มีอำนาจในการชี้ทางให้แก่พระราชโอรสผู้ต่อไปจะเป็นพระมหากษัตริย์ในภายภาคหน้า[63]
ภาพนี้บางทีก็เรียกว่า "การเป็นเทพของพระเจ้าอ็องรี" และภาพ "การประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ" ซึ่งเดิมรือเบินส์จัดเป็นสามรูป[64] อีกสองภาพมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกัน และเป็นภาพที่อยู่กลางระหว่างสองภาพที่ทำให้มีลักษณะคล้ายกับบานพับภาพที่ใช้ตกแต่งที่ประทับของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสในพระราชวังลุกซ็องบูร์
ภาพเขียนนี้มีสองหัวเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน หัวเรื่องหนึ่งเป็นการยกพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ผู้ทรงถูกปลงพระชนม์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1610 ขึ้นสวรรค์ การปลงพระชนม์เป็นผลให้พระราชินีมารี เดอ เมดีซิสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระราชโอรสทันที[65] ซึ่งเป็นหัวเรื่องที่สองที่พระราชินีมารีทรงได้รับมงกุฎ
ลักษณะการวางองค์ประกอบของภาพ "พระแม่มารีแห่งโรซารี" โดยการาวัจโจ อาจจะมีอิทธิพลต่อการวางภาพกลุ่มคนทางขวาของภาพ "การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอ็องรีและการประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ"ทางด้านซ้ายของภาพเป็นเทพจูปิเตอร์ และเทพแซทเทิร์นประคองพระเจ้าอ็องรีผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ในรูปของบุคลาธิษฐานของจักรพรรดิโรมันขึ้นไปยังยอดเขาโอลิมปัสอันเป็นที่ประทับของทวยเทพต่าง ๆ [66] ภาพนี้ก็เช่นเดียวกับภาพอื่น ๆ ของรือเบินส์ที่ใช้อุปมานิทัศน์ เทพในภาพเป็นเทพที่รือเบินส์เลือกเพื่อแสดงความหมายที่ต้องการ เทพจูปิเตอร์เป็นเทพที่เป็นบุคลาธิษฐานของฐานะของความเป็นเทพของพระองค์ ขณะเดียวกันกับที่เทพแซทเทิร์นผู้เป็นสัญลักษณ์ของความสิ้นสุด ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเป็นมนุษย์ผู้จะต้องมีที่สิ้นสุดของพระองค์[67] หัวเรื่องนี้มามีอิทธิพลต่อจิตรกรผู้อื่นเช่นปอล เซซาน (ค.ศ. 1839-ค.ศ. 1906) ต่อมา[68] สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งในภาพนี้คืออุปมานิทัศน์ต่าง ๆ ของเทพที่รือเบินส์ใช้ส่วนใหญ่มาจากเหรียญกรีกโรมันที่บันทึกระหว่างการติดต่อกับนิโคลาส์-โคลด ฟาบริ เดอ เปเรสค์ผู้เป็นเพื่อนและผู้สะสมงานคลาสสิกคนสำคัญ[66]
ทางด้านขวาของภาพเป็นภาพการขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าอ็องรีโดยพระราชินีองค์ใหม่ที่ฉลองพระองค์สีหนักเรียบ ที่เหมาะสมกับการเป็นพระราชินีหม้าย พระองค์ประทับอยู่ในกรอบที่เป็นประตูชัยทางมุมขวาบนของภาพ ล้อมรอบด้วยข้าราชสำนักที่รวมทั้งบุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสผู้คุกเข่าถวาย "ลูกโลกแห่งอำนาจ" ให้แก่พระองค์ พระราชินีมารีทรงรับ "ลูกโลก" ที่เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลขณะที่ผู้อื่นในภาพคุกเข่าถวายความเคารพต่อหน้าพระองค์ ภาพนี้เป็นตัวอย่างอันดีของการเขียนภาพที่เลิศลอยกว่าความเป็นจริงในการเขียนภาพชุดนี้ รือเบินส์เน้นความเป็นกษัตริย์ที่พระราชินีมารีทรงได้รับมาอย่างเป็นทางการ แต่ตามความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงได้รับการประกาศให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่วันที่พระราชสวามีถูกปลงพระชนม์[34]
สิ่งที่น่าสังเกตในภาพนี้คืออิทธิพลจากจิตรกรร่วมสมัยของลักษณะการวางภาพของกลุ่มคนทางด้านขวาของภาพ ที่ละม้ายกับการวางองค์ประกอบในภาพ "พระแม่มารีแห่งโรซารี" โดยการาวัจโจ ซึ่งเป็นภาพที่อาจจะเริ่มเขียนที่โรม และอาจจะเป็นภาพที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของรือเบินส์ในการเขียนภาพ "การประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ" เพราะทั้งสองภาพนี้มีลักษณะการวางภาพที่มีความสัมพันธ์กัน[69]
เมื่อเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างสองภาพนี้แล้วก็จะเห็นว่าต่างก็เป็นภาพของสตรีที่ยื่นมือออกไปรับผู้คนรอบข้างผู้ที่เข้ามาแสดงความเคารพ และการใช้อุปมานิทัศน์ ในภาพของรือเบินส์เป็นเทพีมิเนอร์วา, ความรอบคอบ และฝรั่งเศส ในภาพของคาราวัจจิโอเป็นนักบุญโดมินิค, นักบุญปีเตอร์ผู้พลีชีพ และนักบวชโดมินิคันอีกสององค์ สิ่งอื่นที่สำคัญในภาพก็ได้แก่: หางเสือ, ลูกโลก และลูกประคำ[70] สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เชื่อได้ว่ารือเบินส์แสดงความนับถือในความสามารถของการาวัจโจในฐานะที่เป็นจิตรกรคนสำคัญในยุคนั้น[70]
ภาพนี้เป็นภาพที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงถึงความสามารถในการปกครองในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของพระราชโอรสของพระราชินีมารี ผู้ทรงสนับสนุนแผนการที่นำมาซึ่งสันติสุขของยุโรปโดยการจัดการเสกสมรสระหว่างพระราชโอรสและธิดาของพระองค์กับราชวงศ์ต่าง ๆ ในยุโรป[71]
เนื้อหาของภาพเป็นภาพคิวปิดและเทพีจูโนจับนกพิราบสองตัวเข้าด้วยกันเหนือลูกโลกที่แตกแยก อันเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความสันติสุข[72]พระราชินีมารีมีพระราชประสงค์ที่จะจัดให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 พระราชโอรสเสกสมรสกับอินฟันตาอันนาแห่งสเปน และเจ้าหญิงเอลีซาแบ็ตแห่งบูร์บงพระราชธิดากับเจ้าชายฟิลิปแห่งสเปนผู้ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 4 ซึ่งอาจจะเป็นทำให้สัมพันธมิตรระหว่างฝรั่งเศสและสเปนดีขึ้น[73] สำหรับพระราชินีมารีแล้วการเสกสมรสทั้งสองนี้อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการก็เป็นได้ เพราะความสันติสุขของยุโรปเป็นจุดประสงค์อันมีความสำคัญที่สุดต่อพระองค์[74].
"องคมนตรีเทพ" เป็นภาพที่เข้าใจยากที่สุดในบรรดาภาพต่าง ๆ ใน "ภาพชุดพระราชินี" เป็นภาพที่แสดงถึงนโยบายการปกครองอย่างระมัดระวังของพระราชินีมารีระหว่างที่ทรงปกครองราชอาณาจักรในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เช่นในการที่ทรงกำราบการก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร นอกจากนั้นก็ยังเป็นภาพที่มีนัยยะว่าทรงดำเนินนโยบายและรักษาอุดมคติเดียวกันกับพระราชนโยบายของพระสวามีเมื่อยังทรงพระชนม์[75] ฉากของภาพเขียนเป็นฉากที่เกี่ยวกับเทพที่ไม่ได้บ่งว่าเป็นที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะ โดยใช้เทพเจ้าหลายองค์จากตำนานเทพกรีกโรมัน ทั้งการใช้เทพจำนวนมากและฉากที่เป็นฉากที่ไม่ได้ระบุแหล่งทำให้เป็นการยากต่อการตีความหมาย เทพจากตำนานเทพกรีกโรมันที่อยู่ในภาพนี้ก็ได้แก่เทพอพอลโล และเทพแพลลัส ผู้มาต่อสู้สิ่งที่ชั่วร้ายต่าง ๆ ที่รวมทั้งความขัดแย้ง ความเกลียดชัง, ความโกรธ และความอิจฉา, เทพเนปจูน, เทพพลูโต, เทพแซทเทิร์น, เทพเฮอร์มีส, เทพแพน, เทพีฟลอรา, เทพีเฮบี, เทพีวีนัส เทพมาร์ส, เทพซูส, เทพีเฮรา, คิวปิด และเทพีไดแอนนา[76]
"การสงครามและชัยชนะที่ยือลิช" หรือ "การสงครามและชัยชนะที่ฌูว์ลีเย" เป็นภาพเดียวที่แสดงพระราชกรณียกิจในด้านการสงครามที่พระราชินีมารีทรงมีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างสมัยที่ทรงปกครองในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นการคืนยือลิช (หรือฌูว์ลีเยในภาษาฝรั่งเศส) ให้แก่เจ้าชายโปรเตสแตนต์[77] เพราะตำแหน่งที่ตั้งที่ข้ามจากแม่น้ำรัวร์ (Ruhr) ยือลิชจึงมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อฝรั่งเศส และการได้รับชัยชนะครั้งนี้ก็เป็นหัวเรื่องที่รือเบินส์นำมาสรรเสริญในรูปของภาพเขียน ฉากนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เป็นการเทิดทูนชัยชนะและความเป็นวีรสตรีของพระองค์[77] พระราชินีมารี เดอ เมดีซิสทรงม้าโดยทรงถือคทาในพระหัตถ์ขวา[78] ทางด้านบนของภาพเป็นเทพีแห่งชัยชนะ เทพีวิกตอเรียถือมงกุฎใบลอเรลที่เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะลอยอยู่เหนือพระเศียร นอกจากนั้นก็ยังมีราชอินทรี (imperial eagle) บินอยู่ในฉากหลังไกลออกไป[77] อินทรีทำให้นกที่อ่อนแออื่น ๆ บินหนีไปหมด[78] ทางขวาของพระราชินีมีร่างสตรีเคียงข้างที่เดิมเชื่อกันว่าเป็นบุคลาธิษฐานของความอดทน (Fortitude) เพราะมีสัญลักษณ์สิงโตอยู่เคียงข้าง แต่อันที่จริงแล้วเป็นบุคลาธิษฐานของความยิ่งใหญ่ (Magnanimity) หรือ ที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ความเผื่อแผ่" ที่เห็นได้จากของมีค่าที่ถืออยู่ในมือซ้าย ของมีค่าสิ่งหนึ่งที่ถือคือสายไข่มุกที่พระราชินีมารีทรงโปรดปราน[78] อีกความหมายหนึ่งที่มีผู้ให้ความเห็นคือเป็นบุคลาธิษฐานของออสเตรียพร้อมกับสิงโต[77] รูปสัญลักษณ์อื่น ๆ ก็มี "ความมีชื่อเสียง" ที่อยู่ทางด้านขวาของภาพที่กำลังเป่าทรัมเป็ตแรงจนออกมาเป็นควัน[78] พระราชินีมารีทรงม้าขาวและทรงเครื่องแต่งกายอย่างหรูหราที่แสดงถึงความมีชัยหลังจากยือลิชล่ม ชัยชนะครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นการแสดงพระองค์ว่าทรงเป็นผู้มีความสามารถในด้านการศึกสงครามเช่นเดียวกับพระสวามีผู้เสด็จสวรรคตไปแล้ว[79]
"การแลกเปลี่ยนเจ้าหญิงที่พรมแดนสเปน" เป็นการฉลองการเสกสมรสคู่ระหว่างอินฟันตาอันนาแห่งสเปนแห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งราชวงศ์บูร์บง และระหว่างพระขนิษฐาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (เอลีซาแบ็ตแห่งบูร์บง) กับพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งสเปนแห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1615
ในภาพบุคลาธิษฐานฝรั่งเศส (ทางขวาของภาพ) และบุคลาธิษฐานสเปน (ทางซ้ายของภาพ) ประคองส่งตัวและรับตัวเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ โดยมียุวเทพที่อาจจะเป็นเทพไฮเมเนียสช่วย ตอนบนของภาพทางริมซ้ายและทางริมขวาเป็นยุวเทพสององค์แหวกม่านถือคบเพลิงแห่งการแต่งงานของเทพไฮเมเนียส ขณะที่เทพเซฟิรัสผู้เป็นเทพเจ้าแห่งลมตะวันตกทางซ้ายของภาพเหนือบุคลาธิษฐานสเปนเป่าไออุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิและโปรยกลีบกุหลาบ รอบ ๆ เป็นยุวเทพบินอยู่อย่างร่าเริงล้อมรอบเฟลีกีตัสปูบลีกาผู้ถือคทางูไขว้และโปรยทองลงมาจากกรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์ ด้านล่างของภาพเป็นแม่น้ำอ็องแดที่มีทวยเทพที่มาถวายพระพรลอยตัวอยู่ เทพแห่งแม่น้ำอ็องแด กอดไห (มุมล่างซ้าย), นิมฟ์น้ำ (มุมล่างซ้าย) สวมมงกุฎยื่นสร้อยไข่มุกและปะการังให้เป็นของขวัญ ขณะที่ไทรทันเป่าหอยเพื่อเป็นการฉลองโอกาส[80]การเสกสมรส ซึ่งเป็นการพยายามสมานความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสกับสเปนที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำบีดาโซอาระหว่างพรมแดนฝรั่งเศสกับสเปน ในภาพเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงประสานพระหัตถ์ขวาเข้าด้วยกันระหว่างบุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสกับสเปน บุคลาธิษฐานของสเปนสวมหมวกเกราะที่มีสิงโตอยู่ตอนบนทางด้านซ้ายของภาพ ขณะที่บุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสทางขวาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่มีสัญลักษณ์ดอกลิลีทองของฝรั่งเศส[81] อินฟันตาอันนาแห่งสเปนผู้ขณะนั้นมีพระชนมายุ 14 พรรษาทรงหันพระขนองให้กับบุคลาธิษฐานของสเปนราวกับจะเป็นนัยยะว่าจะทรงทิ้งสเปนเพื่อเสด็จไปยังฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศของพระสวามี ส่วนบุคลาธิษฐานของสเปนก็เอื้อมมือไปแตะพระอังสาซ้ายของเจ้าหญิงเอลีซาแบ็ตแห่งบูร์บงผู้มีพระชนมายุ 13 พรรษาเพื่อเป็นการต้อนรับเข้าสู่สเปน[82]
ภาพนี้โดยเฉพาะของ "ภาพชุดพระราชินี" เป็นภาพที่ควรค่าแก่ความสนใจตรงที่เป็นภาพที่ใช้วิธีเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ภาพอื่นเขียนในห้องเขียนภาพของรือเบินส์ที่แอนต์เวิร์ป แต่ภาพ "ความผาสุก" ออกแบบและเขียนทั้งหมดโดยรือเบินส์ที่พระราชวังเพื่อแทนภาพเดิมที่เขียนในปี ค.ศ. 1617 ที่เป็นภาพที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่าง ๆ หัวเรื่องของภาพเป็นการแสดงการขับพระราชินีมารีออกจากปารีส โดยพระเจ้าหลุยส์พระราชโอรสของพระองค์เอง ภาพนี้เขียนเสร็จในปี ค.ศ. 1625 และเป็นภาพสุดท้ายของภาพเขียนชุดนี้ในด้านการลำดับเหตุการณ์[83]
ในภาพนี้พระราชินีมารีเองทรงเป็นบุคลาธิษฐานของความยุติธรรมขนาบด้วยเทพเจ้ากรีกโรมันต่าง ๆ ที่รวมทั้งคิวปิด, เทพีมิเนอร์วา, เทพแห่งความรอบคอบ, เทพีอบันดันเชีย, เทพแซทเทิร์น และเทพแห่งความมีชื่อเสียงเทพเฟมสององค์ แต่ละองค์ก็มีสัญลักษณ์ประจำตัวที่นำมามอบแก่พระราชินีมารี (คิวปิดมีธนูและศร; เทพแห่งความรอบคอบมีงูพันแขนที่เป็นสัญลักษณ์ของความมีสติปัญญา; เทพเทพีอบันดันเชียถือกรวยที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของรัชสมัยการปกครองของพระองค์ เทพีมิเนอร์วาเทพีแห่งความมีสติปัญญาสวมหมวกเหล็กและถือโล่ยืนใกล้กับพระพาหาของพระราชินีมารีเพื่อแสดงว่าทรงเป็นผู้ปกครองด้วยความมีพระสติปัญญา เทพแซทเทิร์นมีเคียวและเป็นบุคลาธิษฐานของเวลาที่นำฝรั่งเศสไปสู่อนาคต เทพเฟมมีทรัมเป็ตเพื่อจะฉลองโอกาสอันเป็นมงคล[84]) บุคลาธิษฐานอื่นก็มียุวเทพสี่องค์และปีศาจซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอิจฉา, ความไม่รู้แจ้ง, และความชั่ว[84]
แม้ว่าภาพนี้จะเป็นภาพที่ไม่ต้องมีการตีความหมายมากเท่าภาพอื่นในชุดเดียวกัน แต่ก็ยังเป็นภาพที่มีความขัดแย้งกันในด้านความสำคัญของภาพอยู่บ้าง แทนที่จะเป็นภาพที่ยอมรับกันว่าเป็นภาพที่แสดงพระราชินีมารีในรูปของความยุติธรรม นักวิชาการบางคนก็เสนอว่าหัวข้อเรื่องที่แท้จริงของภาพควรจะเป็น "การกลับมาสู่โลกของเทพีแอสเทรียผู้เป็นเทพีแห่งความยุติธรรมในยุคทอง"[85] ความคิดนี้สนับสนุนโดยคำกล่าวของรือเบินส์เองที่ว่า "ภาพนี้ไม่มีความหมายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรฝรั่งเศสแต่อย่างใด"[86] การใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็ได้แก่พวงใบโอ๊ก ที่อาจจะหมายถึง "corona civica", ฝรั่งเศสที่เป็นเพียงดินแดนรอง และ การใช้เทพแซทเทิร์นในภาพก็อาจจะเป็นการช่วยในการตีความหมายที่รือเบินส์จงใจที่จะทิ้งไว้ก็เป็นได้[86] แต่อาจจะเป็นด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ก็ได้ที่ทำให้รือเบินส์กล่าวถึงความสำคัญของภาพนี้ในจดหมายถึงเปเรสค์ ลงวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1625 ว่า:
กระผมเชื่อว่าได้เขียนจดหมายถึงคุณว่าภาพพระราชินีมารีเสด็จออกจากปารีสได้รับการยกออก และแทนภาพนั้นกระผมก็ได้เขียนภาพใหม่ทั้งหมดที่เป็นภาพที่แสดงการดำเนินการของราชอาณาจักรฝรั่งเศส โดยการฟื้นฟูวิทยาศาสตร์และศิลปะอย่างกว้างขวางภายใต้พระราชอำนาจ[ของพระราชินีมารี] ผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์อันเรืองรอง ถือตาชั่งในพระหัตถ์เพื่อเป็นการรักษาดุลยภาพของโลกด้วยความรอบคอบและความยุติธรรมของพระองค์— เปเตอร์ เปาล์ รือเบินส์[87]
เมื่อพิจารณาถึงความรีบเร่งในการเขียนภาพนี้ของรือเบินส์แล้ว การที่รือเบินส์ไม่ได้กล่าวถึงยุคทองในจดหมายและการกล่าวถึงพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสในรูปความยุติธรรมแล้วนักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปก็พอใจที่จะยอมรับความหมายของภาพที่ตรงไปตรงมาในการใช้อุปมานิทัศน์ต่าง ๆ ในภาพซึ่งตรงกับวิธีการเขียนภาพอื่น ๆ ในชุดเดียวกันนี้[88]
เป็นที่เชื่อกันว่าภาพเดิมที่เป็นภาพพระราชินีมารีเสด็จออกจากปารีสได้รับการปฏิเสธเพื่อที่จะรับภาพ "การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และการประกาศเป็นผู้สำเร็จราชการ" แทนที่เพราะภาพหลังไม่ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเท่ากับภาพแรก ที่รือเบินส์กล่าวต่อไปในจดหมายฉบับเดียวกันว่า:
หัวข้อนี้ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองในหัวข้อใด ...ของรัชสมัยนี้ หรือไม่พาดพิงไปถึงบุคคลใด ...เป็นที่ยอมรับกันเป็นอย่างดี— เปเตอร์ เปาล์ รือเบินส์[89]
จากหลักฐานที่ว่านี้ทำให้เราทราบว่ารือเบินส์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีซึ่งเป็นการทำให้ส่งเสริมความก้าวหน้าในงานอาชีพ ความเต็มใจที่จะปรับความคิดเห็นส่วนตัวให้คล้องจองกับผู้อุปถัมภ์เป็นเครื่องมืออันสำคัญในการสามารถเขียนภาพชุดที่มีผลกระทบกระเทือนทางการเมืองได้สำเร็จ
"พระเจ้าหลุยส์บรรลุนิติภาวะ" เป็นฉากทางประวัติศาสตร์ที่แสดงการโอนอำนาจจากพระราชินีมารีให้แก่พระราชโอรสผู้ทรงบรรลุนิติภาวะทางนามธรรมโดยการใช้อุปมานิทัศน์[90]พระราชินีมารีทรงปกครองในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างที่พระราชโอรสยังทรงพระเยาว์และเมื่อถึงเวลาที่ทรงบรรลุนิติภาวะ พระองค์ก็ทรงมอบหางเสือเรือให้แก่พระเจ้าหลุยส์ผู้เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่อย่างเต็มพระองค์ของฝรั่งเศส เรือในภาพเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรฝรั่งเศสโดยมีพระเจ้าหลุยส์ทรงเป็นผู้ควบคุมทิศทาง
ฝีพายแต่ละคนก็สามารถระบุได้ว่าเป็นใครจากสัญลักษณ์ที่อยู่บนโล่ข้างเรือ โล่ของฝีพายคนที่สองจากด้านหน้าของภาพเป็นแท่นบูชาเพลิงที่มีงูพันแท่นและสฟิงซ์สี่ตัวที่ฐาน ตอนบนของโล่มีตาที่มองลงมาข้างล่าง ลักษณะที่ว่านี้สัญลักษณ์ที่บ่งถึงความเคร่งครัดทางศาสนาที่เป็นคุณลักษณะที่พระราชินีมารีมีพระราชประสงค์จะถ่ายทอดให้แก่พระราชโอรส
นอกจากนั้นเรือที่ว่านี้ก็ยังรู้จักกันว่าเป็นเรือพระราชพิธีหรือเรือแห่ที่ตกแต่งด้วยมังกรด้านหน้าและโลมาสองตัวด้านหลังเหนือหางเสือ พระเจ้าหลุยส์ทอดพระเนตรไปยังพระราชมารดาเพื่อขอคำแนะนำในการถือหางเสือแห่งราชอาณาจักร บนท้องฟ้ามีเมฆดำทมึนที่มีเทพเฟมหรือเทพแห่งความมีชื่อเสียงสององค์ องค์หนึ่งเป่าแตรบิชชินาโรมัน (Roman buccina) และอีกองค์หนึ่งดูเหมือนจะเป่าทรัมเป็ต[91]พระเจ้าหลุยส์ทรงควบคุมทิศทางของเรือขณะที่ฝีพายสี่คนเคลื่อนเรือด้วยกำลังพาย ฝีพายสี่คนประกอบด้วยสัญลักษณ์ของอำนาจ, ศาสนา, ความยุติธรรม และความกลมเกลียวกัน เทพอีกองค์หนึ่งที่ปรับใบเรืออยู่เชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งความรอบคอบ หรือเทพเทมเพอรันซ์ กลางภาพหน้าเสากระโดงเรือเป็นบุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสผู้ยืนสง่าถือคบเพลิงในมือขวาเพื่อแสดงความมุ่งมั่นและลูกโลกแห่งราชอาณาจักรหรือรัฐบาลในมือซ้าย ฝีพายคนแรกที่ยื่นพายออกไปคือเทพีแห่งอำนาจที่มีโล่ประดับสิงโตเกาะเสาเป็นสัญลักษณ์ เทพีแห่งอำนาจคู่กับพระราชินีมารีโดยมีผมสีเดียวกัน และพระเจ้าหลุยส์กับเทพีแห่งศาสนา
การจับคู่พระราชินีมารี เดอ เมดีซิสกับเทพีแห่งอำนาจเป็นการเพิ่มพระบรมราชานุภาพของพระองค์ ขณะที่ทรงวางท่าที่แสดงการยอมรับในพระราชอำนาจของพระราชโอรสที่ทรงได้รับและที่จะทรงมีต่อไป[92] ภาพนี้เป็นภาพที่น่าสนใจตรงที่เมื่อดูเปรียบเทียบกับบริบทของความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างพระมหากษัตริย์หนุ่มกับพระราชมารดาในเหตุการณ์ที่เป็นจริง ก่อนหน้าพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกไม่นานเท่าใดนักพระเจ้าหลุยส์ก็ทรงมีปากมีเสียงกับพระราชมารดาจนทำให้พระองค์ทรงขับพระราชมารดาออกจากราชสำนัก[30] รือเบินส์ทราบถึงเหตุการณ์นี้เป็นที่แน่นอน แต่แทนที่จะเขียนภาพที่แสดงความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสองพระองค์ รือเบินส์ก็เลือกที่จะเน้นความสง่างามของการโอนอำนาจแทนที่
"การหลบหนีจากบลัว" เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 21/22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1619 ซึ่งเป็นคืนวันที่พระราชินีมารีเสด็จหลบหนีจากพระราชวังบลัวหลังจากที่ทรงถูกกักกันอยู่เป็นเวลาเกือบสองปีโดยพระราชโอรส ในภาพนี้พระองค์ทรงยืนสง่าอยู่กลางภาพท่ามกลางผู้คนและเหตุการณ์ต่าง ๆ อันวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบข้าง พระองค์ทรงได้รับการพิทักษ์และการประคองโดยบุคลาธิษฐานแห่งฝรั่งเศสทางขวาของภาพ ตอนเหนือของภาพเป็นเทพีออโรราส่องทางยามกลางคืนด้วยคบเพลิง ภาพนี้มีพื้นฐานมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและตามเวลาที่เกิดขึ้นจริง[93] แต่รือเบินส์สร้างเสริมบรรยากาศเพื่อแสดงความเป็นวีรสตรีที่เหนือกว่ารายละเอียดของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จากบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์การหลบหนีของพระราชินีมารีมิได้แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของเหตุการณ์การหลบหนีที่เกิดขึ้นจริง รือเบินส์จงใจละเลยรายละเอียดบางอย่างเพื่อที่จะไม่ให้เป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของพระราชินีมารีเอง ซึ่งผลที่ออกมากลายเป็นภาพที่ไม่เป็นธรรมชาติเท่าใดนัก พระราชินีมารีทรงปรากฏพระองค์ในภาพอย่างสมถะ แต่กระนั้นก็ยังมีนัยยะว่าทรงเป็นผู้มีพระราชอำนาจเหนืออำนาจทางการทหาร และมิได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทรงประสบในระหว่างการหลบหนี ชายในภาพด้านหน้าที่ยื่นมือออกไปยังพระองค์ไม่ทราบกันว่าเป็นใคร ตัวแบบหลายตัวด้านหลังเป็นสัญลักษณ์ของทหารที่เป็นการแสดงพระพลานุภาพของพระองค์ทางการทหาร[94]
"การเจรจาที่อ็องกูแลม" เป็นภาพที่มีพื้นฐานมาจากการพยายามสร้างความปรองดองระหว่างพระราชโอรส โดยการเจรจาระหว่างผู้แทนของทั้งสองฝ่าย ในภาพพระราชินีมารีทรงรับช่อมะกอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสันติสุขจากเทพเมอร์คิวรีผู้เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้า (หรือในกรณีนี้ก็จะเป็นสาส์นจากพระราชโอรส) ต่อหน้านักบวชสตรีของพระองค์ผู้ที่ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้ไปเจรจากับพระราชโอรสเพื่อสร้างความปรองดองในกรณีที่เกี่ยวกับความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างทั้งสองพระองค์ที่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล[79] รือเบินส์ใช้วิธีหลายวิธีในการวาดภาพนี้เพื่อเป็นการแสดงภาพพจน์อันต้องพระประสงค์ของพระราชินีมารี ผู้ที่ทรงต้องการที่จะแสดงพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นผู้พิทักษ์และผู้ให้คำปรึกษาแก่พระราชโอรสผู้ยังทรงพระเยาว์และขาดประสบการณ์ ในภาพนี้พระราชินีมารีทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์บนแท่นพร้อมด้วยรูปสลักของเทพีมิเนอร์วาผู้เป็นสัญลักษณ์ของความมีปฏิภาณและยุวเทพสององค์ถือช่อใบลอเรลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมีชัยและความเสียสละของพระองค์อยู่เหนือบัลลังก์ที่ประทับ ท่าทางที่สมถะแต่รู้แจ้งของพระองค์เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีหลักและมีปฏิภาณ นอกจากนั้นแล้วรือเบินส์ก็วางพระราชินีมารีในโครงร่างของภาพที่แคบ และในบรรดากลุ่มคนที่ดูใกล้ชิดและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคาร์ดินัลเพื่อเป็นการเน้นความสัตย์ อันตรงกันข้ามกับความไม่ซื่อตรงของเทพเมอร์คิวรีผู้แอบคทางูไขว้ไว้ข้างตัว แต่การนั้นการแบ่งกลุ่มคนในรูปก็ยังเน้นให้เห็นถึงช่องว่างที่ยังคงแสดงความแตกแยกกันระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกจากการแบ่งภาพแล้วรือเบินส์ก็ยังเพิ่มสุนัขขาวที่กำลังเห่าอยู่ในรูปด้วยเพื่อเป็นนัยยะในการเตือนว่าผู้ที่มาเฝ้ามาด้วยจุดประสงค์ที่แอบแฝง สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่รือเบินส์ใช้ในภาพนี้ก็เพื่อเป็นการเน้นว่าพระราชินีทรงเป็นผู้ที่ทรงถูกมองในแง่ลบโดยขาดความยุติธรรม แม้ว่าจะทรงเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถอย่างสุขุม และยังคงมีความคำนึงถึงประโยชน์ของพระราชโอรสผู้ยังทรงพระเยาว์ผู้ที่ยังไม่ทรงขาดประสบการณ์ในการปกครองเช่นเดียวกับพระองค์[95] โดยทั่วไปแล้วภาพนี้เป็นภาพที่มีปัญหาต่อการตีความหมายและสร้างข้อขัดแย้งให้แก่ผู้ชมภาพมากที่สุด และเป็นภาพที่เข้าใจยากที่สุดในบรรดาภาพชุดนี้ทั้งหมด และก็เช่นเดียวกับภาพอื่น ๆ ที่เป็นภาพก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่เน้นพระราชานุภาพของพระองค์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภาพที่แสดงก้าวแรกของการแสวงหาความปรองดองระหว่างพระองค์และพระราชโอรส[96]
หลังจากการก่อการแข็งข้อของฝ่ายขุนนางและพระราชินีมารีผู้ไม่มีความพอใจต่อนโยบายการปกครองของรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ล้มเหลวแล้ว สงครามกลางเมืองก็มายุติลงในยุทธการที่เล-ปง-เดอ-เซ (Les Ponts-de-Cé) โดยความพ่ายแพ้ของกองทัพของพระราชินีมารีอย่างง่ายดายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1620 ที่มารู้จักกันในภาษาฝรั่งเศสว่า "Drôlerie des Ponts-de-Cé" (ไทย: เรื่องน่าหัวเราะที่เล-ปง-เดอ-เซ)
"การเลือกความมั่นคงของพระราชินีมารี" เป็นภาพพระราชินีมารีทรงต้องลงพระนามในสัญญาสงบศึกที่อองเฌส์หลังจากที่กองกำลังของพระองค์พ่ายแพ้ที่เล-ปง-เดอ-เซ (Ponte-de-Ce) เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับความมั่นคง แม้ว่าจะเป็นภาพที่แสดงความต้องการที่จะเลือกความมั่นคงโดยการใช้สัญลักษณ์ของ "เทวสถานแห่งความมั่นคง"--แต่ภายในภาพเดียวกันก็มีสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายอยู่แฝงอยู่ไม่ไกลนัก--ด้านหน้าภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงจากมืดมัวมาเป็นความโปร่งแจ่มใส แต่ก็ยังมีสัญลักษณ์ของความไม่สงบที่แฝงอยู่กับการทรงยอมสงบศึกเป็นเงาอยู่ในฉากหลังของภาพด้วย
รูปทรงกลมของเทวสถานเช่นเดียวกับเทวสถานในสมัยกรีกโรมันเป็นสัญลักษณ์ของโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพจูโนและพระองค์เอง เหนือขึ้นไปมีป้ายบอกชื่อประกาศ "Securitati Augustae" หรือ "เพื่อความมั่นคงของพระราชินี"[97] เทพเมอร์คิวรีชูคทางูไขว้ประคองพระราชินีมารีผู้ทรงลังเลที่จะเข้าสู่เทวสถานแห่งความสันติสุข เป็นการสื่อความหมายว่ายังทรงมีความมุ่งมั่นที่จะไม่ทรงยอมแพ้[98] ซึ่งทำให้ผู้ดูก็สามารถค้านได้อย่างเต็มที่ว่าเป็นภาพเขียนที่ไม่เกี่ยวกับความสันติสุขหรือความมั่นคง เพราะในขณะที่ทรงแสวงหาสันติสุขพระองค์ก็ยังทรงลังเลที่เป็นนัยยะที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของพระองค์ที่ไม่ย่อท้อต่อความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น[99] ในเมื่อทรงมีอำนาจอย่างเทพ รือเบินส์จึงแสดงพระองค์ในสิ่งแวดล้อมแบบคลาสสิกที่ใช้ลำดับการแสดงภาพและนัยยะทางจักษุเช่นการวาดภาพเทพ ซึ่งเป็นการเขียนภาพในลักษณะที่ใช้อุปมานิทัศน์ในการยกพระราชินีมารีให้เป็นเทพ[100]
ในภาพ "การคืนดีระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าหลุยส์" เทพีแห่งความยุติธรรมกำลังเข่นฆ่าไฮดราในตอนล่างของภาพโดยมีเทพแห่งความรอบคอบดูเป็นพยานอยู่ข้างหลัง หัวเรื่องของภาพมาจากอุปมัยของคริสต์ศตวรรษที่ 17 ของการต่อต้านการก่อความไม่สงบ ในภาพนี้สัตว์ร้ายไฮดราเป็นสัญลักษณ์ของชาร์ล ดาลแบร์ (Charles d'Albert de Luynes) ผู้ที่ต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของนักบุญไมเคิลผู้มีท่าทางออกไปทางสตรี[101] ความตายในปี ค.ศ. 1621 ของนักล่าเหยี่ยวชาร์ล ดาลแบร์ผู้กลายมาเป็นผู้นำสูงสุดทางการทหารของประเทศช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชินีมารีและพระราชโอรสดีขึ้น แต่ไม่นานคองเดผู้เป็นข้าราชสำนักคนโปรดของพระราชโอรสและผู้เป็นศัตรูคนสำคัญของพระราชินีมารีก็ก้าวเข้ามาแทนที่ดาลแบร์ต การวาดภาพที่ความหมายกำกวมในกรณีที่เป็นหัวเรื่องที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งก็เป็นไปตามลักษณะการวาดรูปอื่น ๆ ที่มีปัญหาเดียวกัน[102] พระราชินีมารีเองก็คงมีพระประสงค์ที่จะแก้แค้นให้แก่การเสียชีวิตของพระสหายคนสนิทและก็คงมีพระประสงค์ที่จะบรรยายภาพการทำลายชาร์ล ดาลแบร์โดยตรง แต่รือเบินส์เลี่ยงไปใช้อุปมานิทัศน์แทนที่ซึ่งเป็นการเลี่ยงรายละเอียดที่อาจจะทำให้เกิดความขายหน้าต่อมาได้[103] การเลี่ยงของรือเบินส์ในการสร้างฉากความดีชนะความชั่วและสรรเสริญความปรองดองอันสันติสุขของทั้งพระองค์และพระราชโอรสเป็นการแสดงนัยยะถึงความหมายทางการเมืองอย่างเพียงผิวเผิน[103]
เป็นการง่ายที่จะเข้าใจถึงสาเหตุที่ดาลแบร์ตถูกทำลายด้วยเทพและโยนลงไปในหลุมนรก จากการกระทำต่าง ๆ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ที่รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสีพระราชินี แต่ดาลแบร์ตก็เป็นเพียงแพะรับบาปในการเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างพระเจ้าหลุยส์และพระราชมารดา[104] ในภาพนี้พระเจ้าหลุยส์ทรงเจริญพระชันษาขึ้นในรูปของเทพอพอลโล ความตายของไฮดราไม่ใช่ด้วยน้ำพระหัตถ์ของพระองค์อย่างที่คาดว่าควรจะเป็นแต่ด้วยน้ำมือของเทพีแห่งความยุติธรรมผู้มีร่างอันกำยำอย่างสตรีอเมซอน[105] แต่มิได้ถือตาชั่งประจำตัวเช่นในภาพก่อนหน้านั้นที่ถ้ามีก็จะทำให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้าหลุยส์ การเข่นฆ่าดาลแบร์ตของเทพีจึงเป็นการกระทำที่ปราศจากความช่วยเหลือจากพระองค์ ผู้ไม่ทรงแสดงความไยดีแต่อย่างใดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น[106] ส่วนพระราชินีมารีก็ทรงปรากฏในภาพของมารดาผู้รักบุตรชายผู้พร้อมที่จะยกโทษให้ต่อสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ทรงต้องทนมาตลอด
ภาพสุดท้ายในภาพเขียนชุดนี้คือภาพ "ชัยชนะของความสัตย์" ซึ่งเป็นการใช้อุปมานิทัศน์ทั้งภาพโดยมีพระเจ้าหลุยส์และพระราชมารดาพระราชินีมารีทรงคืนดีกันบนสรวงสวรรค์[107] ในภาพทั้งสองพระองค์ทรงลอยอยู่บนสวรรค์เชื่อมด้วยสัญลักษณ์ของ "ความปรองดอง" (concordia) ที่แสดงถึงการยกโทษให้กันและกันและความมีสันติระหว่างทั้งสองพระองค์ ภายใต้เป็นเทพแซทเทิร์นยกเทพีเวอริทัสขึ้นสวรรค์ที่เป็นสัญลักษณ์ของการนำความสัตย์ออกมาให้เป็นที่เห็นแจ้ง และการคืนดีระหว่างพระราชินีมารีกับพระราชโอรส[108] การแสดง "เวลา" และ "ความสัตย์" ใช้เนื้อที่ถึงสามในสี่ของภาพตอนล่าง ส่วนบนของภาพเป็นพระราชินีมารีกับพระราชโอรส ระหว่างสองพระองค์พระราชินีมารีก็ทรงมีขนาดใหญ่กว่าและใช้เนื้อที่ของภาพมากกว่าพระราชโอรส[109] ซึ่งเป็นการเน้นถึงความสำคัญของพระองค์ อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเน้นความสำคัญคือทรงปรากฏพระองค์สูงเท่าเทียมกับพระราชโอรส[110] พระราชโอรสถูกบดบังเล็กน้อยด้วยปีกของเทพแซทเทิร์นทรงคุกพระชานุต่อหน้าพระราชมารดาและถวายสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่เป็นหัวใจเพลิงในมือที่ประสานกันล้อมรอบด้วยช่อใบลอเรล[111] ในการวางภาพนี้รือเบินส์ให้ความสำคัญต่อพระราชินีมารีมากกว่าพระราชโอรส โดยการใช้การวางท่าทางของพระองค์และการทอดสายพระเนตร ในภาพนี้เทพีแห่งความสัตย์ยื่นมือไปยังพระองค์ขณะที่เทพแห่งกาลเวลาหรือเทพแซทเทิร์นแหงนหน้าขึ้นไปมองยังพระองค์ เทพทั้งสององค์ต่างก็ไม่มีผู้ใดที่ให้ความสนใจต่อพระเจ้าหลุยส์[112] รือเบินส์แสดงภาพของทั้งสองพระองค์ในอนาคตอย่างมีศิลปะ และต่างก็มีพระชนมายุมากขึ้นเมื่อเทียบกับภาพก่อนหน้านั้น การคืนดีบนสวรรค์เป็นนัยยะว่าความปรองดองระหว่างทั้งสองพระองค์ไม่เพียงแต่จะยืนยาวอยู่ในโลกนี้และเป็นการยืนยาวตลอดไปด้วย[113] ตั้งแต่จุดนี้หัวเรื่องของ "ภาพชุดพระราชินีมารี" ก็เปลี่ยนไปเป็นรัชสมัยของพระราชมารดาของพระราชินีมารี[81] หลังจากชาร์ล ดาลแบร์ข้าราชสำนักคนโปรดของพระเจ้าหลุยส์เสียชีวิตไปแล้วพระราชินีมารีและพระราชโอรสก็ทรงคืนดีกัน และในที่สุดก็ทรงได้รับการยอมรับให้กลับเข้าร่วมในราชสภาองคมนตรีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1622[114] ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงว่าเวลาเป็นสิ่งที่เปิดเผยถึงสัจจะในที่สุดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างพระราชินีมารีและพระราชโอรส[107]
ภาพสุดท้ายนี้เป็นภาพที่ประจวบกับความสนพระทัยทางการเมืองหลังจากพระสวามีของพระราชินีมารีเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงมีความเชื่อว่าสัมพันธไมตรีระหว่างราชอาณาจักรสามารถสร้างขึ้นได้โดยการจัดการเสกสมรสซึ่งทำให้ทรงพยายามให้ "ภาพชุดพระราชินีมารี" นี้เขียนเสร็จก่อนการเสกสมรสระหว่างพระราชธิดาเจ้าหญิงเฮนเรียตตา มาเรียกับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ[81]
ฟรันเชสโกที่ 1 เด เมดีชี | โจแอนนา อาร์ชดัชเชสแห่งออสเตรีย |
ภาพเขียนอีกสามภาพเป็นภาพเหมือนของพระราชบิดามารดาของพระราชินีมารี: ฟรันเชสโกที่ 1 เด เมดีชี และอาร์ชดัชเชสโจแอนนาแห่งออสเตรีย ที่ตั้งอยู่สองข้างเตาผิง ภาพเหมือนของฟรันเชสโกอยู่ทางขวาที่มองตรงไปยังทางเดินไปทางที่ประทับส่วนพระองค์ของพระราชินีมารี ในภาพฟรันเชสโกสวมเสื้อคลุมที่แต่งตรงชายด้วยขนเออร์มิน โดยมีตราลัทธิเซนต์สตีเฟ็นแห่งทัสเคนีที่ฟรันเชสโกเองเป็นผู้ก่อตั้งห้อยอยู่รอบคอ ภาพของพระมารดาอาร์ชดัชเชสโจแอนนาอยู่ทางซ้ายด้านที่นักท่องเที่ยวจะมองเห็นเมื่อเดินเข้ามา โจแอนนาแต่งตัวด้วยเสื้อที่ปักด้วยด้ายเงินและทองแต่ไม่ได้สวมเครื่องทรงอย่างอื่นที่แสดงฐานะอันสูงส่ง การวางรูปแบบของภาพนี้มาจากภาพเขียนของอาเลสซานโดร อัลโลรี (Alessandro Allori) ที่ต่อมาจิโอวานนิ บิซเซลลิ (Giovanni Bizzelli) ก๊อบปี้ รือเบินส์คงจะมีโอกาสได้เห็นภาพนี้จึงนำอิทธิพลมาใช้ในการวางรูปแบบของภาพเขียนของโจแอนนา แต่งานชิ้นนี้ของรือเบินส์ไม่เด่นเท่ากับงานดั้งเดิมที่ไปรับอิทธิพลมา ภาพเหมือนของอาร์ชดัชเชสโจแอนนาโดยทั่วไปแล้วก็เป็นเพียงภาพของสตรีที่ปราศจากความรู้สึก ในกรณีนี้รือเบินส์ไม่ได้ใช้ธรรมเนียมการวางท่าของตัวแบบในภาพเหมือนที่เขียนกันในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่ทำให้ผู้เป็นแบบดูสบาย ๆ ส่วนผู้เป็นแบบแทนฟรันเชสโกนั้นไม่ทราบกันว่าเป็นผู้ใด แต่ก็เป็นที่สงสัยกันว่ารือเบินส์ใช้ปรัชญาการเขียนจากปารีสในการพยายามสร้างให้ผู้เป็นแบบดูมีอำนาจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์[115] ลักษณะการเขียนภาพสองภาพนี้แตกต่างกันมากและดูจะไม่พ้องกันกับภาพอื่นในภาพชุดเดียวกัน เมื่อเทียบกับ "ภาพชุดพระราชินีมารี" แล้วภาพนี้ก็ดูเรียบไม่มีชีวิตชีวาเหมือนภาพอื่น ๆ ของพระราชินีมารีที่ดูเต็มไปด้วยชีวิตจิตใจและความงดงาม[116] นอกจากนั้นการใช้อุปมานิทัศน์ต่าง ๆ ของรือเบินส์ในภาพอื่นก็มิได้นำมาใช้กับภาพสองภาพนี้ ซึ่งทำให้กลายเป็นภาพเหมือนที่เรียบ ๆ ธรรมดา นอกจากนั้นแล้วก็ยังกล่าวกันว่าทั้งสองภาพไม่มีความคล้ายคลึงกับตัวแบบจริงแต่อย่างใด[117]
เมนูนำทาง
ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส ภาพชุดใกล้เคียง
ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสแหล่งที่มา
WikiPedia: ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส http://www.visual-arts-cork.com/old-masters/jean-a... http://online.wsj.com/article/SB100014240527487032... http://www.vdg-weimar.de/_vtpv/3929742861preview.p... http://www.students.sbc.edu/vandergriff04/mariedem... //doi.org/10.2307%2F3049036 //doi.org/10.2307%2F3177384 http://links.jstor.org/sici?sici=0004-3079(197212)...